This Is War: สงครามล้างมนุษย์ - This Is War: สงครามล้างมนุษย์ นิยาย This Is War: สงครามล้างมนุษย์ : Dek-D.com - Writer

    This Is War: สงครามล้างมนุษย์

    ในโลกแห่งความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'ต้นไม้' สูญพันธุ์ไป และมนุษย์ต่างผลิตอาวุธเพื่อมาห้ำหั่นกันเอง...

    ผู้เข้าชมรวม

    399

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    399

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 เม.ย. 58 / 10:57 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       

                  ขึ้นชื่อว่าสงคราม สิ่งที่จะได้รับก็คือความเจ็บปวด ความสูญเสีย น้ำตา และความทุกข์ทรมาน แล้วสิ่งใดกันที่ทำให้เกิดสงคราม สิ่งใด...ที่ทำให้มนุษย์ในยุควิทยาศาสตร์ต้องจับอาวุธมาฆ่าฟันกันอย่างโหดเหี้ยม สิ่งใด...ที่ดึงจิตใจอันเปราะบางของมนุษย์ให้ถลำลึกลงสู่ด้านมืด เปลี่ยนโลกที่เคยงดงาม ให้กลับมืดมนไร้ซึ่งความสงบสุข แก่นแท้ของธรรมชาติกำลังเลือนหายไป การแก่งแย่งอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์บ่อนทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ชดใช้ด้วยคำว่าชีวิต อาจจะยังดูน้อยไปด้วยซ้ำ...

       

                  ในโลกที่วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า เหล่ามนุษย์ทั้งหลายต่างพยายามจะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อเอาชนะธรรมชาติ และสุดท้าย พวกเขาก็ทำสำเร็จ ทันทีที่นักวิทยาศาสตร์หัวใสได้ประดิษฐ์เครื่องแลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ กับแก๊สออกซิเจนเสร็จสมบูรณ์ ต้นไม้...ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ป่าไม้เริ่มถูกแทนที่ด้วยสิ่งก่อสร้าง และการใช้ประโยชน์อย่างเห็นแก่ตัวของมนุษย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่นาน...ก็ไม่มีใครเคยได้เห็น สิ่งมีชีวิตสีเขียวที่เรียกว่า ต้นไม้ อีก แต่ความโลภของมนุษย์ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ภายหลังฤดูกาลล่าสัตว์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ สรรพสัตว์ต่างๆก็ได้สูญพันธุ์ไป... โลกใบนี้จึงเหลืออยู่แต่เพียง มนุษย์ ที่เรียกตนเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเท่านั้น...

       

                  น้องเอิร์ธ เด็กชายวัย 9 ขวบ ตัวผอม ใส่แว่นตาหนาเตอะ กำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องมืดๆห้องหนึ่ง ว่ากันว่า เกมนี้เป็นเกมที่ยาก และยังไม่เคยมีใครเอาชนะได้ แต่เด็กชายตัวน้อยกลับกดแป้นพิมพ์เป็นรหัสบางอย่าง ทำให้หน้าจอเกมขึ้นช่องให้ใส่รหัส เด็กน้อยกรอกลงไปอย่างชำนาญ ก่อนจะมีตัวอักษรปรากฏขึ้นว่า ‘The War is Won!’ เด็กชายชูมือขึ้น เผยให้เห็นรอยช้ำ เป็นจ้ำอยู่บริเวณข้อพับ และมีเทคโนโลยีโทรศัพท์ซึ่งย่อขนาดและทำให้มีรูปร่างเหมือนกำไลข้อมือสีเงินอันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของศาสตราจารย์กิตติกร นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผู้ซึ่งเป็นบิดาของเด็กชายนั่นเอง พลันไฟฟ้าอัตโนมัติก็เปิดขึ้น พร้อมกันนั้นโต๊ะคอมพิวเตอร์ของน้องเอิร์ธก็ถูกระบบเลื่อนเครื่องใช้อัตโนมัติเลื่อนออกไป แทนที่ด้วยโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ชายผู้เป็นพ่อของเด็กน้อยใส่ชุดสูทสีขาวสะอาดเดินมานั่งที่โต๊ะ และมีแม่บ้านชราคนหนึ่งตักอาหารเม็ดซึ่งมีสารอาหารครบถ้วนให้กับศาสตราจารย์ผู้นี้

       

      “ลูกเอิร์ธ... ทานอาหารเช้าแล้วเหรอลูก..” บิดาของเด็กชายถามขึ้น ขณะกำลังตักอาหารเม็ดสีน้ำตาลเข้มเข้าปาก น้องเอิร์ธพยักหน้าเบาๆ ทันใดนั้น มีเสียงดังออกมาจากกำไลโทรศัพท์ที่ข้อมือของเด็กน้อย ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ!...

       

      “ถึงเวลาอีกแล้วสินะ...” กิตติกรเดินเข้ามาหา และคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อย ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยา ออกจากกระเป๋ายาที่ผูกไว้ข้างเอวของน้องเอิร์ธ แล้วฉีดน้ำยาสีเขียวแก่เข้าไปในเส้นเลือดของลูกชาย  

       

      “เสร็จแล้วลูก... อืม... ช่วง 2-3 วันนี้ ลูกต้องดูแลตัวเองดีๆนะ เพราะพ่อต้องไปทำงาน อาจจะไม่ได้กลับบ้าน...”

       

      “อีกแล้วเหรอครับพ่อ...” เด็กชายมีสีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

       

      “อย่าลืมฉีดยาตามสัญญาณเตือนที่พ่อตั้งไว้ และก็เป็นเด็กดี อย่าดื้อกับป้าดาวนะลูก...” กิตติกรพูดพลางลูบศีรษะเด็กน้อย ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าเอกสารและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

       

      “พ่อครับ...” เด็กชายร้องเรียกตามหลัง “เมื่อไหร่?.. ผมจะได้ไปโรงเรียนครับ...” คำถามนั้นทำให้ผู้เป็นพ่ออึ้งไปพักหนึ่ง ก็จะหันมาตอบลูกชายอย่างใจเย็น

       

      “พ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอลูก... ว่าตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองมันวุ่นวาย ข้างนอกนั่นก็มีแต่ความอันตราย เชื่อพ่อนะลูก... พ่อสัญญา...ทันทีที่สงครามจบ...” พอดีรถยนต์ไร้ล้อซึ่งขับเคลื่อนด้วยแรงไฟฟ้าและแม่เหล็กมาจอดที่หน้าบ้าน กิตติกรจึงเดินขึ้นรถไปทันที เด็กชายมองตามไปด้วยแววตาเศร้าสร้อย

       

      “มาค่ะ...คุณหนูของป้า...” แม่บ้านชราอดีตพยาบาลเก่า มาพาตัวเด็กน้อยเข้าไปในห้องนอน แล้วนำเข็มฉีดยามาบรรจุน้ำยาสีเขียวแก่ลงไปจนเต็ม แล้วใส่ลงไปในกระเป๋ายาของน้องเอิร์ธ

       

      “ป้าดาวครับ..ผมไม่ฉีดยาแล้วได้ไหม...?” เด็กชายพูดขึ้น แม่บ้านชราถอนหายใจ

       

      “ไม่ได้หรอกค่ะคุณหนู... มิฉะนั้น โรคประจำตัวของคุณหนูจะกำเริบนะคะ... เชื่อป้าเถอะค่ะ อีกไม่นานสงครามก็จะจบ คุณพ่อของคุณหนูจะกลับมาอยู่กับคุณหนูเหมือนเดิมนะคะ..”

       

      “..งั้นเหรอครับ...” น้องเอิร์ธทำตาลอยๆ ป้าดาวเก็บของแล้วกำลังจะเดินออกไปจากห้องของเด็กชาย

       

      “ป้าดาวครับ...” หญิงชราหยุดเดินและหันหน้ากลับมา “ป้าดาวเคยเห็น...สิ่งที่เรียกว่า ต้นไม้...รึเปล่าครับ?

       

      แม่บ้านชรานิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า “ป้าไม่เคยเห็นหรอกค่ะ... แม้แต่ชื่อ ก็ยังไม่รู้จักเลย...” ก่อนจะเดินออกไปแล้วกดปุ่มปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว ปล่อยน้องเอิร์ธให้อยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง

       

      เด็กชายตัวน้อยมองไปยังรูปถ่ายรูปหนึ่งที่ผนังห้องของตน เป็นรูปหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีขาว ใต้ภาพมีเศษกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆแปะอยู่ เป็นพาดหัวข่าวว่า สลด! นักเคมีชื่อดัง เสียชีวิตคาที่ด้วยเหตุเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิด... ใช่แล้ว... ผู้หญิงในภาพคนนั้น คือ อรอุมา มารดาของน้องเอิร์ธนั่นเอง ดวงตากลมโตของเด็กชายฉายแววแห่งความเศร้าอีกครั้ง น้องเอิร์ธลุกขึ้นยืนแล้วกดรีโมท เปิดโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้อง ในจอปรากฏภาพของผู้ประกาศข่าวสาวและคณะ กำลังสัมภาษณ์ชายในชุดสูทสีดำคนหนึ่ง

       

      “ท่านคะ! ท่านคิดว่าฝ่ายหิ่งห้อยจะมีแผนอะไรมาโจมตีฝ่ายจันทรารึเปล่าคะ และสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจะจบลงเมื่อไหร่คะท่าน..” ชายคนนั้นหยุดนิ่งสักครู่ ก่อนจะตอบคำถามด้วยวาจาฉะฉาน

       

      “ผมว่าผมได้บอกพวกคุณไปหลายครั้งแล้วนะครับ ว่าฝ่ายจันทราของเรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพียบพร้อมไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้ความสามารถ เราไม่มีทางแพ้พวกนอกรีต ที่คิดจะต่อต้านเราอย่างแน่นอน ส่วนคำถามที่ว่าสงครามจะจบลงเมื่อไหร่นั้น ผมเองก็ยังตอบไม่ได้ครับ...”

       

      “แต่ท่านเป็นถึงหัวหน้าของฝ่ายจันทรานะคะ ท่านไม่กลัวประชาชนจะไม่เชื่อใจท่านเหรอคะ”

       

      “พวกเขาต้องเชื่อใจผมอยู่แล้วครับ ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ของผม จนมาถึงผม ฝ่ายจันทราของเรา เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามในทุกๆด้าน และไม่ว่าฝ่ายต่อต้านจะมีมากแค่ไหน ผมก็ไม่กลัวหรอกครับ”

       

      “ได้ยินข่าวมาว่า ฝ่ายหิ่งห้อยกำลังพัฒนาขีปนาวุธใหม่ เพื่อเตรียมโจมตีฝ่ายของท่านอยู่ เป็นความจริงเหรอคะ”

       

      “อืม... เหมือนจะเคยได้ยินข่าวมาบ้าง... แต่ก็อย่างที่ผมบอกแหล่ะครับ ไม่ว่าพวกมันจะมาไม้ไหน พวกเราก็สามารถรับมือได้อยู่แล้ว และผมจะขอประกาศไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ไอ้พวกฝ่ายต่อต้านที่เรียกตัวเองว่าหิ่งห้อย ก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้ขลาด! เอาแต่ใช้วิธีสกปรกหลอกลวงประชาชน โดยการปล่อยข่าวลือเรื่องภัยพิบัติ ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในการบริหารจัดการภัยธรรมชาติของฝ่ายเรา แต่ก็ไม่สำเร็จหรอกครับ พวกฝ่ายหิ่งห้อย ไม่ทางเอาชนะฝ่ายจันทราได้ ไม่มีวัน!!!” พรึ่บ! น้องเอิร์ธกดรีโมทปิดโทรทัศน์ ก่อนจะเดินไปหยิบน้ำผสมโปรตีนสีขาวขุ่นแก้วหนึ่งมาดื่ม มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวเป็นเงาดำๆอยู่ข้างหลังเด็กน้อย น้องเอิร์ธวางแก้วน้ำแล้วหันไปดูสิ่งสิ่งนั้น

       

      อีฟ... ตื่นแล้วเหรอ...” เด็กชายเรียก สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่มีผิวขรุขระสีน้ำตาลราวกับเปลือกไม้ นิ้วของเธอเรียวเล็กและยื่นยาวออกมาเหมือนกิ่งไม้ มีใบไม้ขนาดเล็กสีเขียวอ่อนอยู่บริเวณศีรษะของเธอแทนเส้นผม ดวงตาของเด็กหญิงมีขนาดโตกว่าคนปกติ และมีม่านตาสีฟ้าครามเรืองแสงอยู่ในความมืด...

       

      “อะ...อ.. เอิร์ธ..” อีฟขยับปากเล็กๆของเธอเพื่อออกเสียง

       

      “หิวรึเปล่า..”น้องเอิร์ธหยิบกระบวยรดน้ำมารดให้ที่เท้าของเด็กหญิงที่มีขนรากอ่อนๆยื่นออกมา หลังรดน้ำเสร็จเด็กชายก็วางเท้าทั้งสองของอีฟไว้ที่ดินในกระถางต้นไม้ตามเดิม ก่อนจะหยิบโคมไฟอันหนึ่งมาเสียบปลั๊ก

       

      “ห้องนี้มันมืด... ฉันกลัวว่าเธอจะหิวนะอีฟ ให้เธอสังเคราะห์แสงกับหลอดไฟดวงนี้ไปก่อนนะ...”เด็กชายว่า พลางหันหลอดไฟให้แสงส่องมาทางเด็กหญิง

       

      “เอิร์ธ... ขะ..ข้าง..น..นอก..ปะ..เป็น..อ..อย่าง..ไร...บะ...บ้าง...?” อีฟพูดขึ้น

       

      “ก็เหมือนเดิมแหล่ะ... พ่อบอกว่าข้างนอกนั่นมันอันตราย... พ่อไม่อนุญาตให้ฉันออกไปไหนหรอก... ตอนนี้พ่อก็ต้องออกไปทำงาน อีก 2-3 วันถึงจะกลับบ้าน...”เด็กชายหน้าเศร้า

       

      เด็กหญิงเอื้อมมือของเธอไปแตะที่ไหล่ของเด็กชายเหมือนเป็นการปลอบใจ

       

      “ตั้งแต่วันที่แม่จากไป... ฉันไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืนเดียว... ฉันคิดถึงแม่... คิดถึง..ครอบครัว ตอนที่เรายังอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา... ฉัน...” หยดน้ำตาใสๆของเด็กชายเริ่มไหล จนต้องถอดแว่นเพื่อเช็ดน้ำตา

       

      “...อ..เอิร์ธ...” เด็กหญิงพลอยรู้สึกเศร้าใจไปด้วย

       

      “อีฟ..” น้องเอิร์ธหยุดร้องไห้และพยายามเปลี่ยนเรื่อง “ฉันยังจำครั้งแรกที่ฉันเจอเธอได้เลยนะ...”เด็กชายพยายามทำสีหน้าให้ดูร่าเริง

       

      “ตอนนั้นฉันยังเด็กกว่านี้มาก... ฉันแอบเปิดประตูช่องลับเข้าไปเล่นในห้องทดลองของแม่ ฉันได้เจอกับเมล็ดกลมๆสีฟ้าส่องแสงได้ มันสวย...สวยมาก... สวยซะจนฉันอดใจไม่ไหวและหยิบมันขึ้นมา แล้วแม่ก็เข้ามาพอดี ฉันเลยต้องรีบหลบซ่อนตัว ฉันได้ยินแม่พูดว่า มันคือการทดลองที่ผิดพลาด ก่อนจะหยิบน้ำเหนียวๆบางอย่างมาฉีดใส่เมล็ดที่เหลือจนแห้งฝ่อไป... แต่ฉันเสียดาย ก็เลยเอามาปลูก..” เด็กชายจ้องมองมาที่อีฟ

       

      “แล้วมันก็ทำให้ฉันได้เจอกับเธอ... อีฟ... แต่ก่อนฉันเคยได้ฟังเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าต้นไม้ จากแค่ในนิทานก่อนนอนเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้เจอตัวจริง...” น้องเอิร์ธส่งยิ้มให้ เด็กหญิงก็ยิ้มตอบ

       

      อีกด้านหนึ่ง... ณ ฐานทัพลับใต้พิภพของฝ่ายจันทรา กิตติกรนักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นกำลังหลักในการคิดค้นและประดิษฐ์อาวุธของฝ่ายจันทรา กำลังควบคุมการผลิตระเบิดที่จะใช้เป็นอาวุธสงคราม

       

      “คุณกิตติกร!!!” เสียงทุ้มหนักเต็มไปด้วยพลังดังขึ้น

       

      “ครับ...ท่านหัวหน้า” เจ้าของชื่อหยุดงานของตนชั่วคราว

       

      “สายของผมรายงานมาว่า ไอ้พวกฝ่ายหิ่งห้อย มันคิดค้นอาวุธที่เราไม่อาจจะสู้ได้สำเร็จแล้ว...” ชายในชุดสูทสีดำคนเดียวกับที่เคยออกโทรทัศน์พูดขึ้น

       

      “อาวุธ?!...ท่านหมายถึง...”

       

      “ใช่! ข่าวลือพวกนั้นเป็นความจริง...เครื่องควบคุมธรรมชาติมีจริง...พวกมันสร้างทั้งเครื่องทำแผ่นดินไหว เครื่องทำภูเขาไฟระเบิด เครื่องสร้างอุทกภัย และน่าจะมีอื่นๆที่เราจะยังไม่รู้อีกมาก...”

       

      “เป็นไปได้ยังไงกัน! พวกเขาไปหาแหล่งพลังงานมาจากที่ไหน แล้ว...เทคโนโลยีของเขาก้าวหน้าไปถึงขั้นนั้นเลยหรือครับท่าน...”

       

      “ได้ยินว่าเป็นธาตุชนิดใหม่ที่พบแต่ในดาวอังคาร พวกมันขนส่งแร่เหล่านั้นมาจากนอกโลก... หึ!.. แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมจะคุยกับคุณหรอกนะ..”

       

      “...ท่าน..คิดจะให้ผมสร้าง...เหมือนพวกเขาหรือ”

       

      “หึหึ...ไม่จำเป็นหรอก.. เรามีอาวุธที่ร้ายแรงอยู่ในกำมืออยู่แล้ว... เพียงแค่ว่ายังไม่ได้นำออกมาใช้เท่านั้นเอง...”

       

      “ทะ..ท่านจะให้ผม...”

       

      “ใช่!... ปล่อยระเบิดปรมาณูแบบพิเศษที่คุณคิดค้นขึ้น”

       

      “ ..ร..ระเบิดนั่น...ตะ..แต่ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ มันเสี่ยงมากหากจะนำออกมาใช้งาน...”

       

      “ผมรู้...มันต้องควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และคิดคำนวณอัตราการให้พลังงานด้วยคณิตศาสตร์ชั้นสูง... แต่คุณก็เป็นคนเก่งอยู่แล้ว...เรื่องแค่นี้คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของนักฟิสิกส์อย่างคุณหรอก...ใช่ไหม?

       

      “แล้วท่านต้องการมันไปเพื่ออะไร? แค่ที่ผมสร้างให้ท่านอยู่ในตอนนี้ มันก็เป็นอาวุธสงครามที่ร้ายแรงแล้วทั้งนั้น”

       

      “ผมจะออกคำสั่งให้ปล่อยปรมาณูแบบพิเศษในวันพรุ่งนี้... ขอเพียงแค่คุณคำนวณสมการมาให้ผมเท่านั้น ผมจะสามารถกวาดล้างพวกที่อยู่ข้างบนนั่นได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที...”

       

      “พวกที่อยู่ข้างบน?!... ก็มีทั้งทหารฝ่ายเราและฝ่ายหิ่งห้อยไม่ใช่หรือครับ...”

       

      “ผมทำลายพวกมันให้หมด!!!

       

      “ไม่!!! ผมไม่ยอม! ตระกูลของผมทำงานให้ฝ่ายจันทรามาโดยตลอด พวกเราเป็น นักวิทยาศาสตร์นะครับ! ไม่ใช่ ‘ฆาตกร’!”กิตติกรโยนเอกสารในมือของตนทิ้ง แล้วออกไปจากที่นั่นทันที หัวหน้ามองตามไปด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

       

      ที่บ้านของกิตติกร

      น้องเอิร์ธกำลังสอนอีฟให้วาดภาพในกระดาษสมุดสีน้ำตาล “อีฟ... ลองจินตนาการภาพขึ้นในสมอง แล้ววาดมันออกมาดูสิ” เด็กหญิงพยายามทำตาม แต่ด้วยนิ้วมือที่มีลักษณะคล้ายกิ่งไม้ของเธอ ทำให้การระบายสีเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็พอมองออกเป็นรูปเป็นร่าง

       

      “สะ..ส..สวย..ไหม...เอิร์ธ?..” เด็กหญิงชูภาพวาดเป็นลายเส้นยุ่งเหยิง เห็นเป็นรูปร่างคล้ายสิ่งมีชีวิตสีขาวกำลังขยับแผงขน ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

       

      “รูปอะไรกันนี่?” เด็กชายถาม อีฟได้แต่อมยิ้ม ดวงตาสีฟ้าครามของเธอยังคงส่องประกาย “ฉันเบื่อแล้วล่ะ! เรามาคิดคำนวณโจทย์ฟิสิกส์ในหนังสือเล่มนี้ดีกว่า...” ว่าแล้วเด็กชายแว่นหนาก็หยิบหนังสือปกแข็งของพ่อออกมาเปิด

       

      “ฉันจะทำข้อนี้... ส่วนเธอทำข้อนั้นนะ” อีฟพยักหน้าแล้วจับดินสอ โครม!!!’ ทันใดนั้นมีทหารใส่ชุดเกราะสีขาวและใส่หน้ากากกันสารเคมีปิดหน้าบุกเข้ามาในบ้านของกิตติกร พวกเขาเล็งปืนกระบอกใหญ่มาทางนี้ เด็กชายเห็นดังนั้นก็รีบพาอีฟวิ่งหนี แต่เนื่องจากขาที่มีลักษณะคล้ายรากพืชทำให้อีฟวิ่งไปได้ไม่นานก็หกล้มลง

       

      “อีฟ!!!...” น้องเอิร์ธร้องเรียก เขารีบกดกำไลโทรศัพท์หาผู้เป็นพ่อทันที แต่ยังไม่ทันที่กิตติกรจะได้รับโทรศัพท์ พวกทหารก็จับตัวเด็กชายได้ น้องเอิร์ธพยายามดิ้น พวกเขาจึงใช้ปืนทุบศีรษะของเด็กชายจนล้มลง

       

      “โอ๊ย!!!... ช่วยผมด้วย!!!... ป้าดาว!... พ่อครับ!... แม่ครับ!...” น้องเอิร์ธซึ่งมีเลือดอาบศีรษะยังคงดิ้น ทำให้พวกทหารต้องมารัดตัวเอาไว้

       

      “นั่นมัน...” ทันทีที่เห็นอีฟ พวกทหารก็อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินมากระซิบกระซาบกัน

       

      “จัดการไอ้เด็กแว่นนี่ แล้วเอาสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่นั่นกลับไป!”เหล่าทหารพยักหน้าพร้อมกัน มีทหารคนหนึ่งหยิบเข็มฉีดยาออกมา ซึ่งน้องเอิร์ธเคยเห็นในโทรทัศน์ ว่ามันเป็นอาวุธชีวภาพที่ฝ่ายหิ่งห้อยคิดค้นขึ้น

       

      “ไม่นะ! ปล่อยผม!!! อย่าเอาตัวอีฟไป! อย่าเอาตัวอีฟไป...ฮือ...ฮือ..” จึ่ก ทหารแทงเข็มฉีดยาเข้าที่เส้นเลือดของเด็กชาย เมื่อเด็กน้อยสงบลง พวกเขาจึงปล่อยร่างของน้องเอิร์ธให้ลงไปกองอยู่กับพื้น

       

      “อีฟ...” น้ำตาของเด็กชายไหลออกมาจนเลอะแว่น ร่างกายของเขาเริ่มชัก ตัวเกร็ง... แต่ยังไม่ทันที่ทหารฝ่ายหิ่งห้อยจะเดินออกไป พวกทหารฝ่ายจันทราในชุดเกราะสีเหลืองอมส้มก็เข้ามาขวางทางไว้พอดี ไม่นาน...สติสัมปชัญญะของเด็กชายก็ดับวูบ...

       

                  เด็กน้อยแว่นหนาในสภาพสะบักสะบอมลืมตาตื่นขึ้นมา...ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสว่างจากหลอดไฟ

       

      “เอิร์ธ! เป็นอย่างไรบ้างลูก!” ผู้เป็นพ่อรีบหยิบเข็มฉีดยามาฉีดให้ลูกของตน

       

      “พ่อ...ครับ....” น้องเอิร์ธทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ กิตติกรจึงโอบกอดลูกชายเพื่อปลอบขวัญ

       

      “ไม่เป็นไรแล้วนะลูก... ต่อไปนี้...พ่อจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกของพ่อได้อีก...” ผู้เป็นพ่อกอดลูกชายไว้แน่น

       

      “... อีฟ!... แล้วอีฟล่ะครับพ่อ... อีฟโดนพวกทหารพาไป พ่อต้องไปช่วยอีฟนะครับ!!!” เด็กชายว่า

       

      “อีฟ?!...ลูกหมายถึงเด็กหญิงครึ่งคนครึ่งต้นไม้นั่นใช่ไหม? พวกเราจำเป็นต้องเจรจาแลกตัวเธอกับลูก ไม่อย่างนั้น พวกมันขู่ว่าจะทำร้ายลูก...”

       

      “แลกตัวกับผม! ทำไม? พวกมันจะเอาอีฟไปทำอะไร? ผมจะไปช่วยอีฟ!” เด็กน้อยตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียง

       

      “เดี๋ยว! เอิร์ธ เดี๋ยว! ตอนนี้พวกเราอยู่ในฐานทัพใต้ดินของฝ่ายจันทรานะ ลูกก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ! ว่าข้างบนนั่นมันอันตรายแค่ไหน ครั้งนี้ยังโชคดี ที่เรามียารักษาปรสิตนั่นได้พอดี ไม่อย่างนั้น ไอ้ปรสิตนั่น มันจะย่อยสลายทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายลูกเลยนะ รู้ไหม!” น้องเอิร์ธน้ำตาไหลริน ผู้เป็นพ่อจึงเข้าไปกอด

       

      “เป็นยังไงล่ะ! เห็นความโหดเหี้ยมของพวกฝ่ายหิ่งห้อยแล้วหรือยัง?” หัวหน้าฝ่ายจันทราพูดขึ้น

       

      “คราวนี้มันคิดจะฆ่าลูกของคุณ คราวหน้ามันคงคิดจะฆ่าคุณแน่ๆเลยนะ คุณกิตติกร...”

       

      “ยังไงซะ! ผมก็จะขอปฏิเสธการปล่อยระเบิดปรมาณูใส่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ข้างบนนั่น!

       

      “หึหึ... คุณกิตติกร... ขึ้นชื่อว่าสงครามก็ย่อมต้องการ‘ผู้เสียสละอยู่แล้ว หากว่ามันสามารถทำให้ฝ่ายเราได้รับชัยชนะได้ มันก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือ? แล้วเราก็ค่อยสรรเสริญความเสียสละของพวกเขาทีหลังก็ได้... ลองใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในสมองของคุณคำนวณเอาก็แล้วกันนะครับ... และอย่าได้ลืมตัว...ว่าตอนนี้คุณอยู่ในฐานะอะไร?... การที่ลูกชายของคุณรอดชีวิตมาได้ก็เพราะอำนาจของใคร? อืม...แต่ถ้าคุณไม่สำนึกบุญคุณ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะครับ...”

       

      “ตกลง!!!” กิตติกรกัดฟันพูด ผมจะเริ่มงานเดี๋ยวนี้เลย คุณเตรียมตัวกดปุ่มออกคำสั่งเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน!” ว่าแล้วเขาลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปจับเอกสารของตนอีกครั้ง

       

      อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา...

       

      “ปล่อยระเบิดได้!!!!” หัวหน้าออกคำสั่ง ‘ระบบกำลังจะปล่อยอาวุธนิวเคลียร์แบบพิเศษในอีก 15 นาที...

      ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! สัญญาณอันตราย! สัญญาณอันตราย!’

       

      “หัวหน้าคะ! เกิดความผิดพลาดของระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์ค่ะ! การคำนวณค่าพลังงานของปรมาณูคลาดเคลื่อน ตอนนี้มันมีพลังงานสูงเกินขีดจำกัดไปแล้วค่ะ หากปล่อยออกไป อาจเกิดความเสียหายมาถึงฐานทัพเราได้ค่ะ” นักวิทยาศาสตร์หญิงคนหนึ่งรายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

       

      “มันเป็นไปได้ยังไง! กิตติกรคำนวณผิดพลาดงั้นเรอะ!!” หัวหน้าว่า

       

      “เปล่าหรอกค่ะ!... เหมือนมีคนเจาะระบบเข้ามาทำลายฐานข้อมูลของเราค่ะท่านหัวหน้า”

       

      “ใครมันกล้ามาทำกับระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงขนาดนี้!” หัวหน้าโวยวาย

       

      “ระเบิดถูกกดปล่อยออกไปแล้ว พวกเราต้องรีบไปหลบในห้องป้องกันนิวเคลียร์นะครับ” กิตติกรพูดขึ้น

       

      “อืม...แต่ห้องนั่นมันจุได้แค่ 15 คนเองไม่ใช่เหรอ?” หัวหน้ากังวล

       

      “ไม่ทันแล้วค่ะท่าน รีบไปกันก่อนเถอะ!” เมื่อไปถึง เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ทหาร และคนงานทั้งหลายก็เริ่มทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงที่นั่งในห้องป้องกันนิวเคลียร์จนเกิดความวุ่นวายไปทั่ว

       

      “หยุดได้แล้ว!!!” หัวหน้าถืออาวุธปืนกระบอกใหญ่ขู่ “ผมจะเป็นคนเลือกเอง! 15 คน ที่จะเข้าไปในห้องนั้น!” ว่าแล้วหัวหน้าก็เรียกชื่อนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญๆ ที่เคยสร้างอาวุธให้กับฝ่ายจันทรา, กิตติกร และตัวเขาเองเป็นคนสุดท้าย พวกคนที่ไม่ยอมรับก็จะถูกยิงด้วยอาวุธปืนอานุภาพร้ายแรงจนหมด ส่วนพวกที่ยอมรับได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตนอยู่นอกห้อง

       

      “หัวหน้าครับ! แล้วลูกของผมล่ะ? ลูกชายของผม...” กิตติกรวิ่งเข้ามาถาม

       

      “คุณจะให้ผมแลกตัวนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถ กับเด็กชายอายุยังไม่ถึง 10 ขวบของคุณน่ะเหรอ?”

       

      “แต่เขาเป็นลูกของผมนะ! และห้องป้องกันนิวเคลียร์ห้องนี้ก็เป็นผลงานการคิดค้นของผม!!!

       

      “ใช่!...คุณคิด... แต่ใคร‘ลงทุนล่ะ?” หัวหน้าตอบสั้นๆ กิตติกรถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยความผิดหวัง หากแต่น้องเอิร์ธไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เด็กชายตัวน้อยกำลังเดินอยู่บนแผ่นดินข้างบน...

       

                  ท่ามกลางเสียงปืน เสียงระเบิด ที่ดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง ปนกับเสียงร้องโหยหวนของเหล่ามนุษย์ผู้เคราะห์ร้าย ฝุ่นควันลอยตลบไปทั่วบริเวณ มีเศษซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน และเศษชิ้นส่วนมนุษย์ที่โดนระเบิดจนกระเด็นไปอยู่คนละทิศละทาง เด็กชายตัวน้อยเดินลากเท้าตาลอยราวกับคนไร้วิญญาณ...

       

      พลันสายตาของน้องเอิร์ธมองไปเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งหน้าตาคล้ายๆกับอีฟ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหา เด็กผู้หญิงคนนั้นมีดวงตาสีน้ำตาล ผิวขาวซีด ในมือถือลูกโป่งลายนกพิราบสีขาวที่กำลังโผบิน เมื่อเข้าไปใกล้ เด็กชายก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆมากมายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเส้นเลือดของเด็กหญิง... มันคือปรสิตในอาวุธชีวภาพนั่นเอง ไม่นานเด็กหญิงก็ล้มลง ทำให้ลูกโป่งสวรรค์ในมือของเธอหลุดลอยไป เด็กหญิงมองลูกโป่งของตนด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ลูกโป่งลูกนั้นลอยขึ้นไปติดบนอาคารสูงแห่งหนึ่ง น้องเอิร์ธจึงรีบวิ่งขึ้นไปบนอาคารหลังนั้น เด็กชายปีนลงมายืนที่ระเบียงและพยายามจะเก็บลูกโป่งให้ ขณะที่กำลังเอื้อมมือไปเก็บนั้น ก็ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้น มีเสียงโทรศัพท์จากกิตติกรดังขึ้นที่กำไล แต่เด็กชายไม่สนใจ เขาคิดแต่เพียงว่าจะต้องเก็บลูกโป่งให้ได้เท่านั้น ขณะนั้นมือของน้องเอิร์ธเริ่มสั่น ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ!... เสียงเตือนให้ฉีดยาดังขึ้น ตาของเด็กชายเริ่มพร่ามัว จนมองเห็นลายนกพิราบสีขาวบนลูกโป่งกำลังขยับปีก และเหมือนกำลังจะบินหนีเขาไป แรงจากแผ่นดินไหวทำให้อาคารเกิดรอยร้าว น้องเอิร์ธเอื้อมจนสุดมือ และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกระโดดลงไปเพื่อจะจับนกพิราบตัวนั้น...

       

                  กิตติกรตกใจมากเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อลูกของตนขาดหายไป ส่วนหัวหน้าฝ่ายจันทราและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆกำลังนั่งคอยการทำลายล้างของระเบิดปรมาณูแบบพิเศษที่เพิ่งสั่งยิงออกไป

       

      ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!’ เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ในขณะที่กิตติกรยืนน้ำตาไหล หัวหน้าฝ่ายจันทราเอามือแตะบ่าของเขาแล้วบอกว่า “มันจบแล้ว... สงครามจบแล้ว... และพวกเราก็ได้รับชัยชนะ...” กิตติกรปาดน้ำตา

       

      “เปล่า... มันยังไม่จบ...” กิตติกรว่า พลันเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น ระบบป้องกันนิวเคลียร์กำลังจะทำลายตัวเองในอีก 3 นาที...

       

      ทุกคนในที่แห่งนั้นตกใจหน้าซีด มีแต่กิตติกรเท่านั้นที่แสยะยิ้มด้วยความสะใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

       

      “ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้... ตั้งแต่ที่พวกคุณวางแผนฆ่าภรรยาของผม ในขณะที่เธอกำลังท้องลูกคนแรกของผม และสร้างสถานการณ์ให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิด... หึหึ... แต่ผมจะถือว่าเป็นโชคดีของลูกผม ที่ไม่ต้องเกิดมาเห็นโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้...”

       

      “แก! ไอ้คนทรยศ! เป็นคนเจาะระบบนั่นใช่ไหม!!!”หัวหน้าชี้หน้าด่า ในขณะที่คนอื่นๆกำลังตื่นตระหนก

       

      “เปล่า!... ผมคงไม่มีความสามารถขนาดนั้นครับ ยังมีอีกคนที่เก่งกว่าผมจัดการให้...” กิตติกรยิ้มระรื่น หัวหน้าเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นหวาดกลัว

       

      “แกต้องการอะไร? ฉันให้แกได้ทุกอย่าง ให้แกเป็นหัวหน้าแทนฉันก็ยังได้ ขอแค่แกช่วยฉัน!...ช่วยฉันออกไป...”

       

      1 นาทีกับ 48 วินาทีที่ผ่านไป...ทำให้คุณคิดได้แค่นี้เองเหรอครับ... ผมจะบอกอะไรให้นะ! ว่าไม่มีอะไรเอาชนะความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติได้หรอก แล้วเมื่อใดก็ตามที่คุณลบหลู่มัน หรือทำให้มันโกรธ... คุณก็เตรียมรับชะตากรรมอันน่าสมเพชไว้ได้เลย!

       

      ระบบจะทำลายตัวเองในอีก 5 วินาที... 5… 4… 3… 2… 1…’

       

       “.......”

       

      กลับมาที่เบื้องบน มีเรือเหาะขนาดใหญ่กว่า 100 ลำ ลงจอด เหล่าทหารฝ่ายหิ่งห้อย และประชาชนผู้บริสุทธิ์ลงมาจากเรือเหาะอย่างปลอดภัย...

       

      เครื่องฉายภาพลวงตา 3 มิติ รหัส: This Is War จบการทำงาน...

       

                  บนพื้นราบมีเพียงซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนอันเกิดจากแผ่นดินไหว ประชาชนทุกคนเดินมาดูซากวัตถุเหล่านั้นแต่ก็ไม่มีใครรู้สึกเศร้าเสียใจหรืออาลัยอาวรณ์ในตัวของสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นแต่อย่างใด... แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคน ณ ที่นี้ตกตะลึง ก็คือต้นไม้ขนาดมหึมาสีเขียวชอุ่มต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็นไปทั่ว ตั้งอยู่ท่ามกลางซากอาคารถล่ม ผู้คนต่างพากันเดินเข้ามาดูใกล้ๆด้วยความสนใจ บ้างก็โอบกอด บ้างก็สูดลมหายใจเอาแก๊สออกซิเจนที่ได้จากธรรมชาติเข้าไปให้เต็มปอด... มีต้นไม้ต้นเล็กๆรูปร่างคล้ายกับเด็กผู้หญิงอีกต้นหนึ่งเจริญเติบโตอยู่ข้างๆต้นไม้ยักษ์ แว่นตาเสื้อผ้าขาดวิ่น และกำไลโทรศัพท์ของเด็กชายยังคงห้อยเกี่ยวอยู่ตามกิ่งไม้ มีเด็กน้อยท่ามกลางหมู่ประชาชนคนหนึ่งเห็นกระเป๋าใส่เข็มฉีดยาแก้โรคประจำตัวของน้องเอิร์ธวางอยู่ จึงหยิบขึ้นมาดูด้วยความสงสัย ทำให้เศษกระดาษที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าหล่นลงมา กระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรเขียนด้วยลายมือความว่า

       

      ถึง.. เอิร์ธลูกรัก...พ่อขอโทษ... ที่ไม่เคยบอกความจริงกับลูกเลย ว่าลูกเป็นใคร... ขอโทษ...ที่ไม่อาจปกป้องหญิงที่จะทำหน้าที่เป็นแม่ของลูกได้... ขอโทษ...ที่ไม่เคยมีเวลาได้ดูแลเอาใจใส่ลูกได้อย่างเคยสัญญาไว้กับแม่ของลูก... แต่พ่อก็ดีใจ...ที่ได้เห็นว่า ลูกเป็น มนุษย์แล้วเป็นคนดี คนเก่ง แบบนี้... ขอโทษอีกครั้งที่พ่อไม่สามารถทำให้ลูกเป็นมนุษย์ได้อย่างถาวร...ตลอดชีวิตของพ่อ ผลงานที่พ่อสร้างได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมาก โดยที่พ่อเองก็ไม่รู้ตัว แต่ขอให้ลูกรู้เอาไว้นะ..ว่าลูก’… คือผลงานที่ดีที่สุด เท่าที่พ่อกับแม่ได้เคยสร้างมา... ฝากปกป้องโลกใบนี้ต่อจากพ่อด้วย... จาก...นกพิราบปีกดำ

       

      แต่ยังไม่ทันที่เด็กคนนั้นจะเอาไปให้ผู้ใหญ่ดู กระดาษแผ่นนั้นก็โดนนกพิราบสีขาวตัวหนึ่ง บินมาคาบไปเสียแล้ว...

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×